หลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของระบบการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ มีส่วนกระตุ้นให้มีการยกระดับระบบคลังสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการนำระบบ Smart Warehouse หรือ คลังสินค้าอัจฉริยะ เข้ามาใช้วางแผนปฏิบัติการและควบคุมการเคลื่อนย้ายจัดเก็บสินค้าภายในคลัง สินค้าด้วยระบบอัตโนมัติให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ลดขั้นตอนการทำงาน
ระบบการทำงานของ Smart Warehouse มีจุดเด่นตรงที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ลดขั้นตอน ลดความซับซ้อน ลดโอกาสการเกิดความผิดพลาด รวมถึงเพิ่มความแม่นยำทั้งเรื่องคุณภาพ เวลา ลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยทั้งในด้านบุคลากรและทรัพย์สินให้มีความยั่งยืน
คลังสินค้าอัจฉริยะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เชื่อมต่อแต่ละขั้นตอนของคลังสินค้า ช่วยให้งานเป็นอัตโนมัติ สามารถรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดำเนินการที่ได้รับการปรับปรุง
คุณประโยชน์ในเบื้องต้นของคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse) มีส่วนสำคัญในการช่วยลดความยุ่งยากในกระบวนการจัดเก็บสินค้าคงคลัง การติดฉลาก และบรรจุภัณฑ์ โดยคลังสินค้าเป็นขั้นตอนแรกของห่วงโซ่อุปทานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ หากองค์กรใดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเหล่านี้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ย่อมสามารถปรับปรุงกระบวนการขนส่งที่เหลือ เช่น การขนถ่าย การขนส่ง การขนถ่าย และการส่งมอบได้ดียิ่งขึ้น
Smart Warehouse มีคุณลักษณะอย่างไร?
1. มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้การจัดเก็บ และขนถ่ายสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. มีการจัดเก็บสินค้าคงคลังน้อยลง และต้องมีอัตราการหมุนเวียนสินค้าสูงขึ้น
3. สร้างระบบปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพมากขึ้น
4. ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
5. มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์อำนวยการที่มีคุณภาพสูง
6. มีระบบสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ และมีการปรับปรุงระบบสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น
ความสำคัญของ Smart Warehouse
สภาพตลาดในยุคปัจจุบันที่ระบบค้าปลีกออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ความต้องการด้านการจัดการระบบคลังสินค้าจึงต้องมีความแม่นยำ เพื่อลดกระบวนการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน แล้วนำมาบันทึกเพื่อวางกลยุทธ์การตลาด
สำหรับเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละคลังสินค้านั้นมีให้เลือกใช้หลากหลาย อย่างเช่น ระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS: Warehouse Management System) และระบบการจัดการคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ ที่จะช่วยจัดการคลังสินค้าได้อย่างมีระบบ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ลดความผิดพลาด ประหยัดได้ทั้งเวลาและแรงงาน
ประโยชน์ของเทคโนโลยีในคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse)
· ลดความจำเป็นในการใช้แรงงาน
· ลดความผิดพลาดของมนุษย์
· ลดความเสียหายและความไม่ถูกต้อง
· เพิ่มการมองเห็นและความโปร่งใสของกระบวนการสินค้าคงคลัง
· เพิ่มความเร็วและความถูกต้อง
· ปรับปรุงการวิเคราะห์ การรายงาน และการสร้างกลยุทธ์
เทคโนโลยีคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse)
คลังสินค้าอัจฉริยะประกอบด้วย เทคโนโลยีในคลังสินค้า หลายอย่างที่ได้รับการตั้งโปรแกรมให้เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูล โดยหัวข้อต่อไปนี้คือส่วนประกอบทั่วไปในคลังสินค้าอัจฉริยะที่ชาญฉลาด
ระบบ RFID
RFID ย่อมาจาก Radio Frequency Identification คือการ ระบุเอกลักษณ์ด้วยคลื่นวิทยุ เป็นระบบฉลากที่ได้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ป้จจุบันการระบุความถี่วิทยุ (RFID) เป็นการแทนที่การติดฉลาก การจัดเก็บ และการค้นหาผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิม เป็นแท็กดิจิทัลที่วางอยู่บนสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่เข้ามาในคลังสินค้า RFID สามารถแทนที่ระบบบาร์โค้ดที่สแกนได้ โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการแนบและสแกนเป็นจำนวนมาก ด้วย RFID คือคลื่นวิทยุที่สามารถสแกนแท็กได้จากระยะไกล พนักงานจึงสแกนพื้นที่ของคลังสินค้าโดยอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบว่าแท็กดิจิทัลอยู่ที่ไหน ข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังเครื่องสแกนแบบใช้มือถือ โดยที่พนักงานจะได้รับแจ้งจำนวน ปริมาณ และข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและพลังงานอย่างมากในการระบุ ค้นหา และดึงสินค้า
แท็ก RFID ช่วยลดความไม่ถูกต้องของสินค้าคงคลัง การสแกนคลังสินค้าสามารถตรวจจับได้ทันทีว่ามีสินค้ากี่ชิ้น แทนการนับกล่องด้วยมือ นอกจากนี้ยังสามารถระบุได้ว่าสินค้าใดอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องของคลังสินค้า ซึ่งการควบคุมสินค้าคงคลังนี้เป็นระบบที่แม่นยำที่สุดในปัจจุบัน หากทุกคนในห่วงโซ่อุปทานใช้ RFID ก็สามารถปรับปรุงการขนถ่าย การขนถ่าย และการจัดส่งได้ด้วยการรู้อยู่เสมอว่าสินค้าคงคลังแต่ละรายการอยู่ที่ใด
วิทยาการหุ่นยนต์
หลังจากติดแท็ก RFID แล้ว หุ่นยนต์จะสามารถจัดเก็บสินค้าเหล่านั้นไว้ในที่เหมาะสมในคลังสินค้า หรือหลังจากที่แท็ก RFID ระบุตำแหน่งที่สินค้าอยู่ในคลังสินค้าแล้ว หุ่นยนต์สามารถดึงสินค้าที่สั่งซื้อและนำไปที่เครื่องแพ็กของมนุษย์เพื่อส่งออกเพื่อจัดส่งได้ มีการใช้หุ่นยนต์สำหรับกระบวนการจัดเก็บและหยิบเป็นหลัก เนื่องจากสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าและบรรทุกสินค้าได้มากกว่ามนุษย์ โดยหุ่นยนต์บางตัวสามารถระบุเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการค้นหาและหยิบสินค้า โดยตัดเวลาและระยะห่างระหว่างจุด A และ B ออก สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะหายไปเพียงแค่การเคลื่อนย้ายระหว่างทางเดิน
ปัญญาประดิษฐ์
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยให้เครื่องสามารถรวบรวม วิเคราะห์ และเรียนรู้จากข้อมูลได้ ด้านการเรียนรู้นี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของกระบวนการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์สามารถเตือนหุ่นยนต์ถึงเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดเก็บและหยิบสินค้า นอกจากนี้ยังสามารถช่วยกำหนดขนาดกล่องที่เหมาะสมตามประเภทบรรจุภัณฑ์ จำนวน ขนาด น้ำหนัก และความหนาแน่น
ที่สำคัญปัญญาประดิษฐ์ยังถูกใช้เพื่อความปลอดภัยของคลังสินค้า AI สามารถระบุการโจรกรรมภายในและภายนอกก่อนที่จะเกิดขึ้นโดยการวิเคราะห์และแก้ไขพื้นที่เสี่ยง ซึ่งช่วยลดการสูญเสียและความไม่ถูกต้องในคลังสินค้าได้อย่างมาก
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง Internet of Things (IoT) มีหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ทำให้เทคโนโลยีสามารถสื่อสารกันและแบ่งปันข้อมูลได้ ทำให้เกิดระบบที่ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับทั้งคลังสินค้า ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูล RFID เพื่อค้นหาและเลือกผลิตภัณฑ์ในคลังสินค้าโดยอัตโนมัติ
หุ่นยนต์สามารถส่งข้อมูลไปยังสายพานลำเลียง แล้วโปรแกรมข้อมูลลงในระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) และ WMS จะแจ้งให้มนุษย์ทราบถึงวิธีดำเนินการและบรรจุรายการนั้นเพื่อส่งออก จากนั้น WMS จะเชื่อมต่อกับการสแกน RFID เพื่อทำเครื่องหมายว่าดีเป็น “ส่ง” เมื่อพัสดุออกจากคลังสินค้า ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุดตลอดกระบวนการโดยรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติงานทั้งหมดในเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเพียงเครื่องเดียว ปัญญาประดิษฐ์สามารถใช้ข้อมูลที่รวบรวมมานี้เพื่อทำการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและคาดการณ์ได้มากที่สุด